แม้แต่คุณบิลล์ เกตส์ (William Henry Gates III) ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft และผู้ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีของโลกอันดับต้น ๆ มาอย่างยาวนาน ยังตื่นเต้นกับการความสามารถและการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ในปัจจุบัน ที่มีความก้าวล้ำสมัย และยังให้ความคิดเห็นว่า ปัญญาประดิษฐ์นี้มีการพัฒนาไปเร็วกว่าที่ตนเคยคาดการณ์ไว้ และที่สำคัญในมุมมองของคุณบิลล์ เกตส์ นั้น ยังได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า “AI มีความสามารถในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้”
ในบางมุมมอง การเข้ามาของเทคโนโลยี โดยเฉพาะเมื่อเราพูดถึง “ปัญญาประดิษฐ์” ว่ามันเป็นสิ่งที่กำลังจะมาแทนที่มนุษย์ ในหลาย ๆ บทบาท แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยวิธีการคิดและประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง AI ก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างโลกที่น่าอยู่มากขึ้นได้
ในขณะที่เทคโนโลยีพื้นฐานอย่างเช่น Smart Phone นั้นมีราคาย่อมเยามากขึ้น จนเป็นเรื่องที่ประชากรประมาณ 54 ล้านคนของประเทศไทยสามารถครอบครองได้ และเมื่อคุณมี Smart Phone หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ดังนั้น คลังความรู้เกือบทุกศาสตร์ในโลกใบนี้จึงอยู่ในมือคุณ และทำให้การเข้าถึงเครื่องมือ AI เป็นไปได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้งาน AI ยอดฮิตอย่าง “ChatGPT” อับดุลผู้รู้ทุกสิ่งโดยอ้างอิงข้อมูลถึงปี ค.ศ. 2021 (“รู้” ไม่ได้ได้แปลว่า “ถูกต้อง” ผู้ใช้งานควรใช้วิจารณญาณ และสืบค้นเพิ่มเติม) หรือ “Midjourney” แพลตฟอร์มสร้างภาพวาดเหนือจิตนาการด้วย AI ที่สามารถใช้คำสั่งเพียงไม่กี่คำ
มนุษย์มีอินเทอร์เน็ตมานาน ในยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตนั้น คือช่วงปี ค.ศ. 1991-2004 ซึ่งการพัฒนาแรกเริ่มนั้น เกิดขึ้นในกลุ่มนักวิฉัย นำโดยคุณทิม เบอร์เนิร์ส-ลี (Timothy John Berners-Lee) ผู้คิดค้น World Wide Web และนักวิชาการให้คำนิยามยุคนี้ว่า “WEB 1.0” ต่อมาคุณทิม เบอร์เนิร์ส-ลี ได้พัฒนาแนวคิดต่อเรื่อยมาสำหรับโลกอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่กำลังจะเข้ามา ซึ่งเรียกว่ายุค “WEB 3.0” ซึ่งสิ่งนี้เทียบได้กับ Generation ของอินเทอร์เน็ต
ถ้ามนุษย์มี Gen X, Y, Z,… แล้ว โลกอินเทอร์เน็ตก็มี Generation เช่นกัน ซึ่งในยุคปัจจุบันนี้ AI คือหนึ่งในปัจจัยที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการเข้าสู่ยุค “WEB 3.0” หรืออีกอย่างคือ ยิ่ง AI ฉลาดมากขึ้นเท่าไร หรือการที่เราใช้ AI มาเป็นผู้ช่วยในการทำงานได้อย่างไร้รอยต่อมากขึ้นเท่าไร (Seamless) ก็แปลว่าเรากำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค “WEB 3.0” อย่างเต็มตัว
ความสามารถขั้นสูงสุดของ AI นั้นยากจะคาดเดา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว AI ไม่ได้เข้ามามีบทบาทในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจเพียงมิติเดียวเท่านั้น แต่ AI ยังมีความสามารถที่จะนำมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม จัดการกับความท้าทายใหม่ทางสังคม จัดหา Solutions ที่ส่งเสริมความยุติธรรม การไม่แบ่งแยก และการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีอคติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
เมื่อทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึง AI เท่า ๆ กัน จึงไม่มีคนได้เปรียบ … แต่สิ่งที่จะช่วยเพิ่มความได้เปรียบให้แก่คนธรรมดาในการสร้างธุรกิจเพื่อสังคมที่มีการใช้ AI เข้ามาช่วยลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ คือ “การเลือกใช้เครื่องมืออย่างชาญฉลาด” และ “การมีแนวความคิดแบบนวัตกร” โดยสามารถใช้แนวคิดการเป็นนวัตกรที่ดี ผ่านการยึดหลัก “5I” ซึ่งได้แก่ แรงบันดาลใจ (Inspiration) จินตนาการ (Imagination) ความคิดสร้างสรรค์ (Ideation) การบูรณาการ (Integration) และ การลงมือทำจริง (Implementation)
ตัวอย่างความเป็นไปได้ในด้านต่าง ๆ ที่ AI จะสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
1. การเข้าถึงการศึกษา: เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถปรับเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ ให้เป็นรูปแบบใหม่ เทียบเท่ากับคุณมีครูผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ คอยให้คำปรึกษาส่วนตัวผ่านอุปกรณ์พกพาของคุณ ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้หลายหลาย และมีรูปแบบที่กระชับรวดเร็วขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ให้กับผู้ที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ นอกจากนี้ AI ยังช่วยเข้ามาจัดการงานเอกสารด้านการบริการนักเรียน และงานธุรการอื่นให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ทำให้คุณครูมีเวลาไปสนใจกับความต้องการของนักเรียนเป็นรายบุคคลมากขึ้น
2. การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ: AI สามารถช่วยในการตรวจหาและวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้น ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีขึ้น ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตสำหรับทุกคน การใช้ AI เข้ามาช่วยในกระบวนการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และ ChatBot ด้านการดูแลสุขภาพที่เปิดกว้างในการใช้งาน วิธีการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้สามารถเข้าถึงประชากรที่ด้อยโอกาสและพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ ทำให้แนวโน้มค่าบริการทางการแพทย์มีราคาถูกลง และความสามารถของ AI ยังสามารถพัฒนาไปถึงขั้นสามารถปรับปรุงการให้บริการเสมือนคนมากขึ้น ลดภาวะการขาดแคลนบุคคลกรทางการแพทย์ในอนาคต
3. การพัฒนาอาชีพ การจับคู่งาน และการฝึกอบรม: AI สามารถนำมาใช้วิเคราะห์ตลาดแรงงานและจับคู่ผู้สมัครกับโอกาสการจ้างงานที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดอัตราการว่างงาน และอัตราการลาออกจากงานได้ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มการฝึกอบรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ยังสามารถช่วยเพิ่มทักษะให้กับพนักงานในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีเกิดใหม่ได้รวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยสร้างความเท่าเทียมในการทำงานของกลุ่มเปราะบางด้วย
4. การเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ การบริหารความเสี่ยง และการจัดการทางการเงิน: โมเดลการประเมินเครดิต (Credit Valuation) ที่ขับเคลื่อนโดย AI สามารถให้คะแนนเครดิตที่แม่นยำ และเป็นกลาง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อบุคคลที่มีประวัติเครดิตจำกัด นอกจากนี้ AI ยังช่วยในการสร้างบริการทางการเงินที่สามารถเข้าถึงได้มากขึ้นและมีราคาย่อมเยาสำหรับผู้ที่มีฐานรายได้น้อย ดังนั้น เรื่องการลงทุน “ที่เหมาะสม” ซึ่งในอดีตต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนบริหารความเสี่ยงให้ส่วนบุคคล และบริการนี้เป็นบริการที่คนรวยเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้ แต่ปัจจุบันการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนเป็นเครื่องมือที่บุคคลทั่วไปสามารถนำมาใช้ได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้ด้วยการพัฒนาของ AI ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถช่วยให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สามารถแข่งขันได้มากขึ้น ส่งเสริมการเติบโตให้กับเศรษฐกิจฐานรากและการสร้างงานในภูมิภาคหรือจังหวัดที่ยังขาดโอกาสในการพัฒนา
5. การบริหารจัดการข้อมูลเมือง การตัดสินใจนโยบายสาธารณะ การบรรเทาภัยพิบัติ และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม: การนำ AI มาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและจัดการข้อมูลเมืองที่มีอยู่มากมายแต่กระจัดกระจาย จะช่วยให้ผู้ที่มีอำนาจกำหนดนโยบายต่าง ๆ สามารถเห็นความเชื่อมโยงของข้อมูล อีกทั้งความสามารถของ AI ที่ใช้ข้อมูลสถิติและความสามารถในการประมวลผลที่รวดเร็วนั้น ยังสามารถช่วยเฝ้าระวัง หรือคาดการณ์เหตุการณ์อันตราย รวมถึงเสนอแนวทางป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำให้สามารถบรรเทาทุกข์และสนับสนุนชุมชนที่ได้รับผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ ส่งเสริมวิธีการแก้ปัญหาระดับเมืองด้วยแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
จะเห็นได้ว่าความสามารถของ AI ส่วนใหญ่ออกแบบมาเพื่อการตัดสินใจผ่านข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อลดอคติในกระบวนการต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลัง อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่า “AI ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม” แต่ “AI คือ เครื่องมือ” ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้บรรลุการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่สังคมได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งผู้พัฒนาและผู้ใช้เครื่องมือนี้ ต้องคำนึงถึงจริยธรรม และต้องทำภายใต้ความรับผิดชอบ ด้วยอัลกอริทึมที่โปร่งใส และมีการประเมินอย่างต่อเนื่องสำหรับการลดอคติและสร้างความเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีการกำหนดกรอบนโยบายเพื่อควบคุมการใช้ AI และตรวจสอบให้แน่ใจว่า เรากำลังดำเนินการพัฒนาอย่างสอดคล้องกับเป้าหมายเพื่อการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มิเช่นนั้น AI อาจจะทำให้ความเหลื่อมล้ำในมิติต่าง ๆ ถ่างออกไปมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่มีแนวคิดและนวัตกรรมในการนำ AI เข้ามาช่วยพัฒนาให้สังคมดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมิติใด ฝ่ายนวัตกรรมเพื่อสังคม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) พร้อมสนับสนุนท่าน เปลี่ยนไอเดียเป็นนวัตกรรมที่สามารถช่วยสังคมได้จริง โดยสามารถติดตามรายละเอียดการประกาศให้ทุนสนับสนุนโครงการได้ที่ https://social.nia.or.th/
ข้อมูลอ้างอิง
- ข้อมูลจาก GatesNotes, The Blog of Bill Gates: https://www.gatesnotes.com/The-Age-of-AI-Has-Begun
- ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เรื่อง ผลการสำรวจการใช้ ICT ของประชาชนในประเทศไทยปี 2565 (ไตรมาส 1) http://www.nso.go.th/sites/2014/Lists/Infographic/Attachments/147/info_ict_65.pdf
- ข้อมูลจาก The Matter หัวข้อข่าว “อะไรคือ Web 3.0 กันแน่? ส่องไอเดียอินเทอร์เน็ตยุคหน้าที่เขาว่าล้ำ” https://thematter.co/futureverse/what-is-web-3-0/166398
- ข้อมูลจาก Finnomena หัวข้อข่าว “WEB 3.0 คืออะไร? วิวัฒนาการของการเชื่อมต่อที่ไร้พรมแดนและไร้ตัวกลาง?” https://www.finnomena.com/zipmex/what-is-web-3-0/
รูปภาพประกอบบทควม
- สำนักข่าว SBSNews จาก Australia หัวข้อข่าว “Could AI in classrooms stop children falling behind at school?” https://www.sbs.com.au/news/article/is-ai-the-answer-to-ensuring-no-kids-slip-through-the-gaps-at-school/6nklj84up
- เว็บไซต์ Midjourney https://www.midjourney.com/showcase/top/
- Innovation Catalog Social Innovation Vol.2: https://www.nia.or.th/bookshelf/view/240
บทความโดย
พิชญาภา ศิริรัตน์ (กิ๊ฟ)
นักพัฒนานวัตกรรม ฝ่ายนวัตกรรมเพื่อสังคม
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)